ถุงใต้ตาบอกโรคอะไรได้บ้าง ? รู้ทันสัญญาณเตือนจากดวงตา
16 พฤศจิกายน 2025
ผู้เขียน
นพ.จิรัช เจตชยานนท์
ประวัติ
- จบการศึกษาระดับปริญญาตรีแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
- วุฒิบัตรสาขาจักษุวิทยา มหาวิทยาลัยขอนแก่น
- ประกาศนียบัตรอบรมขั้นสูงด้านการทำตาสองชั้น ภายใต้การดูแลของ นพ.เจียงอริยวงศ์ ศัลยแพทย์ตกแต่ง และเสริมสร้างใบหน้า
- ประกาศนียบัตรอบรมขั้นสูงด้านการทำตาสองชั้น จากโครงการ International Fellowship in Advanced Aesthetic Science (IFAAS) ประเทศเกาหลีใต้
ถุงใต้ตาบอกโรคอะไรได้บ้าง ? รู้ทันสัญญาณเตือนจากดวงตา
เมื่อสังเกตเห็นถุงใต้ตาบวม หลายคนมักสงสัยว่าเกิดจากสาเหตุอะไรกันนะ แต่รู้หรือไม่? ว่านอกจากสาเหตุทั่วไปอย่างเรื่องของอายุและพฤติกรรมการใช้ชีวิตแล้ว ถุงใต้ตายังบอกโรคที่เรากำลังเป็นอยู่ได้อีกด้วย เพราะดวงตาถือเป็นหน้าต่างสะท้อนสุขภาพของร่างกาย การเปลี่ยนแปลงรอบดวงตาอาจเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนของโรคต่าง ๆ ที่ไม่ควรมองข้ามไป

ถุงใต้ตาบอกโรคไต สัญญาณที่ต้องเฝ้าระวัง
หนึ่งในโรคที่สัมพันธ์กับถุงใต้ตาบวมคือ โรคไต โดยเฉพาะในช่วงเช้าที่ตื่นนอนมาแล้วเห็นลักษณะการบวมได้อย่างชัดเจน สม่ำเสมอ และเกิดขึ้นประจำ ภาวะนี้อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นที่การทำงานของไตผิดปกติก็เป็นได้
1. ลักษณะถุงใต้ตาจากโรคไต
- การบวมแบบสมมาตร : สังเกตว่าใต้ตาทั้งสองข้างจะบวมเท่า ๆ กัน ไม่เอียงข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งเกิดจากภาวะบวมน้ำทั่วร่างกาย (Generalized Edema) เนื่องจากความสามารถในการกรองและขจัดน้ำของไตลดลง
- บวมมากในตอนเช้า : ขณะที่ร่างกายนอนหลับในท่านอนราบ ของเหลวที่สะสมในร่างกายจะกระจายไปทั่วบริเวณผิวหนังและเนื้อเยื่อใต้ตา จึงทำให้ในช่วงขณะที่ตื่นนอนตอนเช้า จะเห็นอาการบวมได้ชัดเจนที่สุด เพราะของเหลวสะสมเหล่านั้นยังไม่ถูกไหลเวียนออกไป
- ลักษณะของถุงใต้ตาบวมน้ำสีใส : ถุงใต้ตาจากโรคไตเกิดจากการคั่งของของเหลวในช่องเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ซึ่งไม่ได้เกิดจากการอักเสบหรือการติดเชื้อ จึงไม่มีรอยแดง หรือรอยคล้ำเหมือนในกรณีที่มีการอักเสบหรือภูมิแพ้
- กดแล้วบุ๋ม : เกิดจากของเหลวที่สะสมในช่องว่างของเนื้อเยื่อทำให้เนื้อเยื่อนิ่มลง เมื่อกดนิ้วลงไปจะเกิดรอยบุ๋ม เพราะของเหลวถูกดันออกชั่วคราว ซึ่งรอยบุ๋มนี้จะค้างอยู่แม้ปล่อยมือแล้วเพราะของเหลวจะยังไม่กลับเข้าสู่ตำแหน่งเดิมอย่างรวดเร็ว เป็นลักษณะเฉพาะของการบวมน้ำจากภาวะไตเสื่อมหรือโรคที่มีของเหลวคั่งในเนื้อเยื่อ
อาการที่เกิดร่วมด้วย สำหรับผู้ที่เสี่ยงเป็นโรคไต
- ปัสสาวะน้อยลง หรือมีฟองมากผิดปกติ
- บวมบริเวณอื่นร่วมด้วย เช่น หน้าแข้ง ข้อเท้า หรือใบหน้า
- เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียตลอดวันแม้ไม่ได้ใช้แรง
ความดันโลหิตสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ
2. ถุงใต้ตาบอกโรคหัวใจ
ภาวะถุงใต้ตาบวมก็สามารถบอกถึงโรคหัวใจได้เช่นกัน โดยลักษณะอาการและเวลาที่เกิดจะแตกต่างจากโรคไตอย่างชัดเจน
ลักษณะถุงใต้ตาจากโรคหัวใจ
- บวมมากขึ้นในช่วงเย็น : เพราะหัวใจทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จึงทำให้เลือดและของเหลวไหลเวียนไม่ดี เกิดการคั่งอยู่ตามหลอดเลือดฝอยและเนื้อเยื่อต่าง ๆ รวมถึงบริเวณใต้ตา จึงทำให้มีอาการบวมได้มากในช่วงเย็น
- บวมหลังทำกิจกรรม : เกี่ยวข้องมาจากระบบไหลเวียนโลหิตและการคั่งของของเหลวในร่างกาย ทำให้มีโอกาสเกิดการบวมหลังจากการทำกิจกรรมหนัก ๆ เช่น การออกกำลังกาย การเดินทางไกล เป็นต้น
- บริเวณใต้ตามีสีที่ผิดไปจากเดิม : เกิดจากการไหลเวียนของเลือดที่ช้าและขาดออกซิเจนทำให้เส้นเลือดขยาย และเห็นเป็นสีม่วงหรือน้ำเงินอ่อนได้
อาการที่เกิดร่วมด้วย สำหรับผู้ที่เสี่ยงเป็นโรคหัวใจ
- หายใจลำบากเมื่อนอนราบ
- ใจสั่นหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- เหนื่อยง่ายเมื่อทำกิจกรรมทั่วไป
- แน่นหน้าอก หรือปวดแปลบบริเวณกลางอก
3. ถุงใต้ตาบอกโรคภูมิแพ้
สำหรับผู้ที่มีอาการถุงใต้ตาบวมเป็นบางช่วงเวลา แต่อาจเกิดได้ถี่โดยเฉพาะในตอนเช้า ช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง หรือเมื่ออยู่ในที่ที่มีฝุ่นมาก อาจเป็นไปได้ว่านี่คืออาการถุงใต้ตาบอกโรคภูมิแพ้ ซึ่งสามารถแสดงอาการผ่านรอบดวงตาได้อย่างชัดเจน
ลักษณะถุงใต้ตาจากโรคภูมิแพ้
- บวมพร้อมคัน : โดยเฉพาะบริเวณหัวตาและใต้ตา เกิดจากการที่ร่างกายปล่อยสารฮิสตามีน (Histamine) ที่ตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น ละอองเกสรสัตว์ คอนแทคเลนส์ หรือสารเคมีบางชนิด ซึ่งจะไปกระตุ้นให้หลอดเลือดใต้ผิวหนังรอบดวงตาขยายตัว ทำให้ของเหลวรั่วออกมาในเนื้อเยื่อ เกิดอาการบวมและคันได้
- ตาแดง น้ำตาไหล : เกิดจากสารก่อภูมิแพ้ กระตุ้นอาการอักเสบในเยื่อบุตาขาวและเปลือกตา ทำให้หลอดเลือดขยายตัว มีอาการตาแดง และน้ำตาไหล ที่เกิดจากกลไกภายในร่างกายที่พยายามขจัดสารภูมิแพ้
- อาการบวมเป็นพัก ๆ : มักเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันจากการสัมผัสหรือใกล้ชิดสารก่อภูมิแพ้ เมื่อรับประทานยาแก้แพ้ หรืออยู่ห่างจากสารนั้น ๆ อาการบวมจะทุเลาลงเอง
- รอบดวงตาแห้งและลอก : เกิดจากอาการระคายเคืองเรื้อรัง ทำให้ผิวสูญเสียน้ำและความชุ่มชื้น นำไปสู่อาการคัน ลอก และเกิดผื่นแดง อาจส่งผลทำให้รอบดวงตาบวมได้
- Allergic shiner (รอยคล้ำใต้ตา) : อาการภูมิแพ้เรื้อรังอาจทำให้เลือดไหลเวียนใต้ตาไม่ดี เกิดเป็นรอยเม็ดสีคล้ำคล้ายเงาใต้ตา ทำให้ดูเหมือนนอนน้อยหรือเหนื่อยล้าตลอดเวลา
อาการที่เกิดร่วมกับโรคภูมิแพ้รอบดวงตา
- ภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจ เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล จามบ่อย
- ภูมิแพ้เยื่อบุตา เช่น คันตา ตาแดง น้ำตาไหล
- ผิวรอบดวงตาแห้งและลอก มักพบในผู้ที่มีการเกา ขยี้ตาบ่อย หรือมีอาการเรื้อรัง
- อ่อนเพลีย นอนหลับไม่สนิท เพราะอาการคัดจมูก คันตา ทำให้คุณภาพการนอนลดลง
4. ถุงใต้ตาบอกโรคต่อมไทรอยด์
หากเกิดภาวะถุงใต้ตาบวมร่วมกับการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัว รู้สึกหนาวง่าย หรือมีอาการตาโปนแบบไม่ทราบสาเหตุ อาจไม่ใช่ปัญหาเรื่องของรูปลักษณ์ทั่วไป แต่อาจเกี่ยวข้องกับภาวะผิดปกติของต่อมไทรอยด์ ซึ่งเป็นต่อมฮอร์โมนสำคัญที่ควบคุมระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกาย
อาการของภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานได้น้อย (Hypothyroidism)
- ตาโปนชัดเจน : แม้จะพบบ่อยกว่าในกลุ่มฮาโมนไทรอยด์สูง แต่สามารถพบได้ในกลุ่มที่ไทรอยด์ต่ำได้เช่นกัน เช่นในโรค Hashimoto’s thyroiditis
- ใบหน้าบวมอูม : เพราะการสะสมของน้ำและเมือกใต้ผิวหนัง (Myxedema) ทำให้ผิวหนังหนาขึ้นและดูบวม
- ผิวแห้ง หยาบ ไม่สดใส : เนื่องจากเมตาบอลิซึมต่ำทำให้การผลัดเซลล์ผิวและผลิตน้ำมันผิวลดลง
- ผมร่วงง่าย : การเจริญเติบโตของเส้นผมช้าลง และมีการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างเส้นผม
- รู้สึกหนาวแม้ในอุณหภูมิปกติ : เพราะระบบเผาผลาญของพลังงานช้าลง จึงผลิตความร้อนได้ไม่เพียงพอ
- อาการอื่น ๆ : อ่อนเพลียง่าย เฉื่อยชา เบื่ออาหาร ความดันต่ำ น้ำหนักขึ้น ท้องผูก เสียงแหบ อาจมีอาการซึมเศร้า และมักมีความผิดปกติของอวัยวะอื่นๆร่วมด้วย
อาการของภาวะต่อมไทรอยด์ที่ทำงานได้มาก (Hyperthyroidism)
- ตาโปนชัดเจน : เนื่องจากภาวะตาโปน (Exophthalmos) เป็นอาการเฉพาะของโรคเกรฟส์ (Graves’ disease) ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันและต่อมไทรอยด์
- บวมรอบดวงตา : เป็นผลมาจากการอักเสบของเนื้อเยื่อรอบดวงตาที่ระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกล้ามเนื้อตาและเปลือกตา ส่งผลต่อรูปลักษณ์ และอาการระคายเคืองในดวงตาอย่างชัดเจน
- มองเห็นไม่ชัด หรือเห็นภาพซ้อน : เกิดจากดวงตาที่โปน ส่งผลต่อกล้ามเนื้อตาจนอาจทำให้อักเสบ และมีอาการบวมโตขึ้นจนขยับตาไม่สะดวก ทำให้เห็นเป็นภาพซ้อน หรือมีตาเขในบางราย
- การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก : น้ำหนักลดอย่างรวดเร็วแม้รับประทานอาหารมาก เนื่องจากระบบเผาผลาญทำงานได้สูงผิดปกติ จนกระทบต่อร่างกาย
- หัวใจเต้นเร็ว รู้สึกใจสั่นบ่อย : เกิดจากฮอร์โมนไทรอยด์ T3 และ T4 ที่อยู่ในระดับสูงผิดปกติ ทำให้หัวใจบีบตัวเร็วและแรงขึ้น ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็ว และบางครั้งอาจเต้นไม่สม่ำเสมอ จนเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือดและภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้
- อาการอื่น ๆ : ปวดตาเวลากลอกตาไปมา เหงื่อออกมาก มือสั่น อารมณ์ฉุนเฉียว นอนไม่หลับ และกล้ามเนื้ออ่อนแรง

5. ถุงใต้ตาบอกโรคอื่น ๆ
แม้โรคไต โรคหัวใจ โรคภูมิแพ้ หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับต่อมไทรอยด์ จะเป็นสาเหตุหลักที่เกี่ยวพันธ์กับถุงใต้ตา แต่ยังมีอีกหลายโรคที่สามารถแสดงออกผ่านอาการบวมของถุงใต้ตาได้น้อยลงมา เช่น โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบตับ ระบบเลือด รวมถึงภาวะขาดสารอาหาร ซึ่งมักจะส่งผลต่อผิวพรรณและการไหลเวียนโลหิต
- ถุงใต้ตาบอกโรคตับ : มีอาการตาเหลืองและผิวเหลือง ร่วมกับอาการปวดท้องด้านขวา ซึ่งเป็นบริเวณที่มีตับอยู่ บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้และอาเจียน ไม่อยากอาหาร และอ่อนเพลียมากจนผิดปกติ
- ถุงใต้ตาบอกโรคโลหิตจางและขาดสารอาหาร : มีลักษณะผิวซีดและถุงใต้ตาซีด ไม่สดใส ร่วมกับมีอาการเหนื่อยง่าย แม้ทำกิจกรรมเบา ๆ ในบางรายอาจมีภาวะเล็บเปราะและผมบาง หายใจลำบากเล็กน้อยจากการขาดออกซิเจน
ภาวะถุงใต้ตาบวม ที่ไม่ได้เกิดจากโรคร้าย
แม้ว่าถุงใต้ตาบวมจะสัมพันธ์กับโรคไต โรคหัวใจ หรือโรคอื่น ๆ ที่กล่าวมาในข้างต้น แต่ส่วนใหญ่แล้ว อาการของถุงใต้ตาที่เกิดขึ้น เป็นผลมาจากปัจจัยทางพันธุกรรมหรือพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น
ถุงใต้ตาจากอายุที่มากขึ้น
- พบในผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป
- แข็งแรงดี ไม่มีอาการผิดปกติทางร่างกายอื่น ๆ
- ค่อย ๆ เกิดถุงใต้ตาอย่างช้า ๆ ไม่บวมกะทันหัน หรือบวมเป็นบางช่วง
- มีลักษณะคล้ายกันในสมาชิกครอบครัว สามารถสังเกตได้จากคนในบ้าน
ถุงใต้ตาจากพฤติกรรม
- การนอนดึกหรือนอนน้อยเป็นประจำ
- มีความเครียดสะสม
- ชอบรับประทานอาหารรสเค็มจัด
- ดื่มน้ำน้อย ร่างกายขาดน้ำ
- สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
แม้ว่าถุงใต้ตาบอกโรคได้ในหลายกรณี แต่การแยกแยะอาการที่เกิดจากโรคจริง ๆ กับอาการที่มาจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวันก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะถุงใต้ตาบวมนั้นอาจไม่ได้หมายถึงการเจ็บป่วยเสมอไป
ดังนั้น จึงควรเจาะเลือดตรวจสุขภาพประจำปี และสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงของถุงใต้ตาควบคู่กับอาการอื่น ๆ เช่น เหนื่อยง่าย ปวดศีรษะ ปัสสาวะผิดปกติ หรือผิวหนังซีดเหลือง เพื่อช่วยให้สามารถประเมินปัญหาเบื้องต้นได้อย่างเหมาะสม และพิจารณาการไปพบแพทย์ได้อย่างตรงจุด
ศัลยกรรมผ่าตัดถุงใต้ตา ทางเลือกดูแลปัญหาใต้ตาบวมอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับผู้ที่แน่ใจแล้วว่าถุงใต้ตาบวมไม่ได้เกิดจากโรคต่าง ๆ แต่เกิดจากอายุ หรือพฤติกรรมการใช้ชีวิต และต้องการที่จะปรับลุคให้ดูสดชื่น อ่อนเยาว์ ศัลยกรรมผ่าตัดตัดถุงใต้ตาอาจเป็นคำตอบที่คุณกำลังมองหา
ข้อดีของการศัลยกรรมผ่าตัดถุงใต้ตา
- สามารถแก้ปัญหาได้ชัดเจนในระยะยาว ไม่ต้องทำซ้ำบ่อย ๆ
- กำจัดถุงไขมันสะสม จัดเรียงไขมันส่วนเกิน
- ปลอดภัยหากดำเนินการโดยจักษุแพทย์ด้านการผ่าตัดตกแต่งรอบดวงตาเฉพาะทาง
- ใช้เทคนิคสมัยใหม่ที่ช่วยให้เห็นรอยแผลเป็นได้น้อย มีระยะเวลาพักฟื้นค่อนข้างสั้น
หากคุณต้องการแก้ไขถุงใต้ตาให้หมดไปอย่างยั่งยืน สามารถมาปรึกษากับจักษุแพทย์ผู้มีประสบการณ์ได้ที่ Bangkok Eye Aesthetics (BEA Clinic) คลินิกศัลยกรรมตาเฉพาะทางใจกลางอโศก ให้บริการโดยจักษุแพทย์ด้านการผ่าตัดตกแต่งรอบดวงตา พร้อมวิเคราะห์ปัญหาและออกแบบแผนการผ่าตัดถุงใต้ตาเฉพาะบุคคลฟรี โดยใช้เทคนิคซ่อนแผลด้านใน ไร้แผลเป็นภายนอก รับประกันความพอใจ 1 ปี หากสนใจ สามารถนัดหมายเข้ามาปรึกษาแพทย์ได้ที่ LINE Official https://lin.ee/gKyYK6F หรือโทร. 064-196-3635
ข้อมูลอ้างอิง
- Fluid Overload in a Dialysis Patient. สืบค้นเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 จาก https://www.kidney.org/kidney-topics/fluid-overload-dialysis-patient
- The 9 Most Common Causes of Dark Circles & Bags Under the Eyes. สืบค้นเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 จาก https://wcosmeticsurgery.com/blog/baggy-eyelids-5-most-common-causes/
- What causes a swollen under-eye?. สืบค้นเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 จาก https://www.medicalnewstoday.com/articles/swollen-under-eye
คำถามที่พบบ่อย
การผ่าตัดถุงใต้ตาเทคนิคแผลใน คืออะไร?
การผ่าตัดถุงใต้ตาแบบแผลใน (Internal Lower Blepharoplasty) เป็นเทคนิคที่ซ่อนแนวแผลไว้ด้านในของเปลือกตาล่าง จึงไม่มีรอยแผลปรากฏบนผิวภายนอก ผู้เข้ารับการผ่าตัดสามารถฟื้นตัวได้รวดเร็ว และไม่จำเป็นต้องเย็บแผลจากด้านนอก
